

1 |
การจัดการด้านสภาพภูมิอากาศ และด้านพลังงานClimate Change and Energy Managerment |
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นับเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน ซึ่งมีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ โดยผลกระทบดังกล่าวนั้นส่งผลทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก
เสริมสุข ในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงได้ดำเนินการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร รวมถึงจากกิจกรรมผลิตภัณฑ์ตลอดวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ เพื่อระบุแหล่งที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังได้ประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามกรอบการทำงานของ TCFD โดยพิจารณาในเรื่อง Physical Risk, Transition Risk และ Opportunity เพื่อกำหนดแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมแนวทางการบริหารจัดการและพัฒนากระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการอนุรักษ์พลังงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเสริมสุข
โครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ
เสริมสุข ได้รับการรับรองเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization; CFO) เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product; CFP) และเครื่องหมายฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ หรือฉลากลดโลกร้อน (Carbon Footprint Reduction; CFR) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก., TGO)
การรับรองเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเสริมสุขในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และยืนยันถึงการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เสริมสุขยังคงดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ ดังนี้
เสริมสุขได้ดำเนินโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาของทุกโรงงาน เพื่อใช้พลังงานทดแทนจากแหล่งพลังงานสะอาดและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟฟ้า
เสริมสุข ได้ติดตั้ง Once Through LPG Boiler ทดแทนการ ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเตาในกระบวนการผลิต ณ โรงงานปทุมธานีตั้งแต่ปี 2562 และขยายผลไปยังโรงงานนครสวรรค์ พร้อมมีแผนติดตั้งให้ครบทุกโรงงาน ที่ใช้ Boiler เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากกระบวนการผลิต
2 |
การพิทักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ำWater Stewardship |
น้ำเป็นทรัพยากรที่เสริมสุขให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากไม่เพียงเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินธุรกิจ แต่ยังมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทั้งในด้าน การอุปโภคบริโภค ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สถานการณ์ด้านทรัพยากรน้ำได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งปัญหาการเสื่อมโทรมของ แหล่งน้ำ การขาดแคลนน้ำ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทรัพยากรน้ำในวงกว้าง เสริมสุขจึงมุ่งมั่นในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และใช้น้ำ อย่างรับผิดชอบ
เสริมสุขได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการใช้ทรัพยากรน้ำ และการใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างคุ้มค่า รวมถึงการคืนน้ำสะอาดสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ โดยได้กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจนในการลดการใช้น้ำอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของบริษัทในกลุ่มไทยเบฟ ด้วยการ นำหลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) มาปรับใช้ในการบริหารจัดการน้ำทุกโรงงาน
โครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำที่สำคัญ
เสริมสุขได้นำหลักเกณฑ์การประเมินการใช้น้ำ (Water Footprint) มาปรับใช้ โดยมีการศึกษาวิเคราะห์และประเมินการใช้น้ำตลอด วัฏจักรผลิตภัณฑ์ ตามมาตรฐานสากล ซึ่งพิจารณาผลกระทบจากการใช้น้ำ การขาดแคลนน้ำ และคุณภาพน้ำทิ้งที่คืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อให้เกิดการ ใช้น้ำอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ ลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิต พร้อม ควบคุมคุณภาพน้ำทิ้งที่ปล่อยออกจาก โรงงาน โดยในปี 2566 เสริมสุขได้รับการรับรอง Water Footprint Certificate สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำดื่มคริสตัล
เสริมสุขมีนโยบายและแผนในการบริหารจัดการน้ำและอนุรักษ์แหล่งน้ำ พร้อมทั้งติดตามและประเมินการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำที่สามารถใช้ได้ ในระดับท้องถิ่น เพื่อวางแผนการใช้น้ำอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับกระบวนการผลิต ของเสริมสุขและความต้องการของท้องถิ่น ผ่านการวิเคราะห์สถานการณ์ (Scenario Analysis) และการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการ เปลี่ยนแปลงของปริมาณหรือคุณภาพน้ำ
วัตถุประสงค์ของการประเมินความยั่งยืนและความเสี่ยงเรื่องน้ำ ซึ่งเป็นวัตถุดิบ หลักสำคัญในการผลิตของเสริมสุข คือการประเมินปริมาณความต้องการใช้น้ำ การขาดแคลนน้ำ และการเสื่อมคุณภาพของน้ำทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงการประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับน้ำในเชิงลึกทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ ความพอเพียงของน้ำ (Quantity) คุณภาพน้ำ (Quality) การเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ (Regulatory Change) และทัศนคติของ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Perception Survey) รวมถึงผลกระทบจากภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ ผลจากการประเมินนี้จะนำไปสู่แผนการบริหารจัดการน้ำอย่าง มีประสิทธิภาพในการผลิต พร้อมการวางแผนดูแลและอนุรักษ์แหล่งน้ำทั้งใน ด้านคุณภาพและปริมาณ
เสริมสุขให้ความสำคัญกับการคืนน้ำสะอาดสู่สิ่งแวดล้อม โดยได้ติดตั้งระบบ บำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพสูงในทุกโรงงาน ซึ่งสามารถบำบัดน้ำทิ้งให้ได้คุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานของหน่วยงานราชการ และติดตั้งระบบ POMS (Pollution Online Monitoring System) เพื่อรายงานคุณภาพน้ำทิ้งตลอด 24 ชั่วโมงไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้มั่นใจได้ว่าน้ำทิ้งที่ปล่อยออกจากโรงงานผ่านการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ เสริมสุขยังได้ดำเนิน "โครงการอุตสาหกรรมเติมน้ำใต้ดินระดับตื้น" โดยเป็นหนึ่งใน 45 โรงงานต้นแบบของประเทศไทยในการเติมน้ำใต้ดินระดับตื้น โดยใช้พื้นที่ว่างภายในโรงงานเพื่อรองรับน้ำฝนและเติมลงสู่ชั้นน้ำใต้ดินระดับตื้น (ความลึกไม่เกิน 15 เมตร) ตามรูปแบบที่เหมาะสมกับลักษณะกายภาพของพื้นที่
3 |
การบริหารจัดการของเสียWaste Management |
เสริมสุขให้ความสำคัญต่อการจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้วและของเสียอย่างยั่งยืน โดยเริ่มต้นจากการจัดการของเสียในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การใช้วัตถุดิบ กระบวนการผลิต จนถึงปลายทางของการจัดการของเสีย ทั้งภายในองค์กรและในสังคมภายนอก พร้อมตั้งเป้าหมายลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองทรัพยากรให้มากที่สุด
การบริหารจัดการของเสียของเสริมสุขสอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยนำหลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) มาใช้ในการจัดการของเสีย ดังนี้
โรงงานสุราษฎร์ธานีร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรท่าโรงช้าง (ปุ๋ยดีดินดี) นำกากตะกอนชีวภาพจากระบบบำบัดน้ำเสียของโรงงานไปศึกษาศักยภาพในการทำปุ๋ยสำหรับภาคเกษตรกรรม และได้นำผลที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันในโครงการ “พลอยได้….พาสุข” ซึ่งจัดโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยและวิสาหกิจชุมชนสามารถนำกากของเสียหรือวัสดุพลอยได้จากภาคอุตสาหกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยใช้หลักการ "การพึ่งพาอาศัยกันระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชน" ผลจากการแข่งขันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรท่าโรงช้าง (ปุ๋ยดีดินดี) ได้รับรางวัลรองชนะเลิศระดับประเทศ
เสริมสุขได้ดำเนินการจัดการของเสียภายในโรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลัก 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เพื่อใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและให้เหลือของเสียสู่กระบวนการฝังกลบน้อยที่สุด หนึ่งในแนวทางสำคัญ คือ การดำเนินโครงการ "Solids Waste to Energy" หรือ RDF (Refuse Derived Fuel) ซึ่งเป็นการแปรรูปของเสียที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงทดแทน ผ่านกระบวนการคัดแยก ลดขนาด และลดความชื้น เพื่อให้ได้วัสดุที่มีค่าความร้อนและคุณลักษณะที่เหมาะสมสำหรับนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยของเสีย RDF เหล่านี้จะถูกส่งเข้าสู่ระบบการเผาไหม้ในระบบปิดของโรงผลิตพลังงานจากของเสีย เพื่อสร้างพลังงานความร้อนและผลิตกระแสไฟฟ้า นับเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ปัจจุบัน โครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการแล้วที่โรงงานปทุมธานี โรงงานชลบุรี และโรงงานนครสวรรค์ และมีแผนขยายผลไปยังโรงงานอื่น ๆ ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้เสริมสุขได้เริ่มดำเนินโครงการบริหารจัดการของเสีย 2 โครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการปุ๋ยจากตะกอนชีวภาพ (Waste Water Sludge to Fertilizer) และโครงการพลังงานจากของเสีย (Solids Waste to Energy หรือ RDF) เพื่อเป้าหมายการฝังลบของเสียเป็นศูนย์ Zero Waste to Landfill และการจัดการของเสียอย่างยั่งยืนของเสริมสุข
4 |
การจัดการบรรจุภัณฑ์Packaging & Circular Economy |
เสริมสุขมุ่งเน้นการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน โดยมุ่งลดปริมาณของเสียและบรรจุภัณฑ์ผ่านแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตั้งแต่ต้นทางในการเลือกวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต เพื่อหลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยไม่จำเป็น ขณะเดียวกันยังคงรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์
เสริมสุขได้ร่วมมือกับผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ (Packaging Supplier) เพื่อดำเนินโครงการลดการใช้พลาสติกอย่างต่อเนื่อง และมีการบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อมในการเก็บกลับวัสดุบรรจุภัณฑ์ผ่านระบบการบริหารจัดการด้านบรรจุภัณฑ์กับบริษัทในเครือ คือ บจ.ไทยเบฟเวอเรจรีไซเคิล (TBR: Thai Beverage Recycle) เช่น การเก็บกลับบรรจุภัณฑ์กระป๋อง บรรจุภัณฑ์พลาสติก บรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว และบรรจุภัณฑ์กระดาษ เพื่อนำกลับเข้าสู่กระบวนการนำกลับมาใช้ใหม่อย่างเป็นระบบ
เสริมสุขมุ่งมั่นดำเนินโครงการพัฒนาด้านบรรจุภัณฑ์และติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เช่น การลดปริมาณการใช้กระป๋องอลูมิเนียมโดยการลดความหนาของกระป๋อง การลดน้ำหนักของฝาพลาสติกชนิด PE สำหรับน้ำอัดลม การลดการใช้พลาสติก PET สำหรับน้ำดื่มคริสตัล และการลดการใช้แผ่นรองกระดาษ (Layer Sheet) โดยโครงการเหล่านี้ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท ทั้งน้ำดื่มและเครื่องดื่มน้ำอัดลม
นอกจากนี้ เสริมสุขยังมีโครงการเรียกกลับขวดแก้วหมุนเวียนจากท้องตลาด เช่น ขวดน้ำอัดลมขนาด 12 oz., 16 oz. และ 850 ml. รวมถึงขวดน้ำดื่มคริสตัลขนาด 500 ml. เพื่อนำกลับมาทำความสะอาดและบรรจุใหม่ตามระบบมาตรฐานคุณภาพระดับสากล โครงการนี้มีเป้าหมายในการนำบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำอย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเสริมสุขในการบริหารจัดการทรัพยากรและการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน